วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2553

บันทึกระหว่างทาง ตอน ๑ : เรียวกังสามป้ากับส้วมข้างทาง

อากาศเย็นของเดือนตุลาคมที่โตเกียวพัดแทรกผ่านผ้าห่มผืนหนาที่ผมมุดตัวนอนขดอยู่ ท่ามกลางแดดยามเช้าที่ส่องผ่านบานหน้าต่างกระจกฝ้าทำเอาผมต้องค่อยๆ แง้มเปลือกตาสู้แสง ผมกัดฟันลุกขึ้นบิดขี้เกียจพอเป็นพิธี เสียงนกน้อยริมหน้าต่าง ที่อยู่ๆก็เริ่มดังเซ็งแซ่ขึ้นมาเหมือนกับจะเป็นการปลุกยามเช้า หรือไม่ก็คงเป็นเพราะแม่นกคงกลับจากการหาอาหารเช้ามาป้อนลูกๆ ผมเปิดหน้าต่างออกไปด้วยความอยากรู้ ภาพที่เห็นเป็นบรรยากาศยามเช้าอันแสนขมุกมัวด้วยละอองหมอกปกคลุมยอดหลังคาและสนญี่ปุ่นริมรั้ว สมาชิกนกน้อยคงพลอยตกกะใจที่ผมเปิดหน้าต่างพรวดออกไป พลันบินหนีกันจ้าละหวั่น อากาศดีจัง ผมรำพึงรำพันในใจ พลันนึกถึงสภาพความวุ่นวายย่านชินจูกุที่ผมเพิ่งจากมาเมื่อสองคืนก่อน อีกมุมหนึ่งของเมือง ยังมีสถานที่อันแสนสงบแทรกตัวอยู่ทางตอนเหนือของโตเกียวที่ผมพักอยู่นี้ เป็นเรียวกังขนาดเล็กๆ ที่พี่ๆเพื่อนๆร่วมเดินทางตั้งชื่อว่า “เรียวกังสามป้า” อันเนื่องมาจากเจ้าของบ้านที่น่ารักของเราเป็นคุณป้าสามคนที่ออกมาโค้งต้อนรับเราด้วยรอยยิ้มอันแสนอบอุ่น เป็นภาพประทับใจที่อดขำกันมิได้ เรียวกังสามป้าจริงๆ มีชื่อว่า Suzuki Ryokan ไม่รู้ว่าชื่อเกี่ยวอะไรกับมอเตอร์ไซค์หรือสามีป้าแกเป็นหุ้นส่วนบริษัทซูซูกิก็ไม่ทราบ กฎระเบียบข้อเดียวที่ป้าๆ ย้ำนักย้ำหนาถึงขนาดทำป้ายประกาศเป็นภาษาอังกฤษ คือ “Japanese Style: Please take off your shoes and put them in the shoes box”



ป้าๆ พยายามจะสื่อสารเราเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่เห็นพวกเราหน้านิ่วคิ้วขมวด แกเลยชี้นิ้วมาที่ป้ายแล้วเหมือนจะส่งซิกแนลว่าเข้าใจหรือยังที่ฉันพยายามจะบอกเนี่ย พวกผมจึงได้ถึงบางอ้อ แหม....ป้าแกนี่รักษาความสะอาดจริงๆ ทำหน้าขึงขังซะจนผมคิดว่าเราทำอะไรผิดซะอีก สภาพในเรียวกังที่นี่ เป็นบ้านหลังเล็กๆ สองชั้น ด้านล่างส่วนกลางเป็นห้องป้าๆ ส่วนหน้าไม่กี่ห้องเป็นห้องพัก พวกผมพักกันที่ชั้นสอง ห้องหนึ่งให้นอนได้ไม่เกินสองคน ไม่มีห้องน้ำส่วนตัว มีเพียงห้องน้ำแยกชายหญิงตรงกลางบ้าน และห้องอาบน้ำอยู่ริมอีกฝั่งหนึ่ง
หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จ ผมเป็นคนแรกที่แต่งตัวพร้อมตะลุยทัวร์ ผมปลุกพี่ชายที่นอนห้องเดียวกัน ปลุกพี่สาวที่นอนอีกห้องหนึ่ง และเพื่อนๆ ต่างคนต่างยังเมาขี้ตาไม่มีใครมีทีท่าว่าจะตื่นกันสักที ผมเลยตัดสินใจคว้ากล้องตัวจิ๋วของผมออกไปตระเวนถ่ายรูปละแวกใกล้เคียงเป็นการฆ่าเวลาระหว่างรอสมุนแล้วกัน ตรงข้ามบ้าน ผมเห็นรั้วหินทรายสีขาวเซาะร่องเป็นรอยคราดแนวขวางไปตลอดแนว ระหว่างกำแพงมีรูสี่เหลี่ยมผืนผ้าแนวตั้ง ด้วยความสงสัยผมแอบมองเข้าไป เห็นต้นไม้กับบ้านเก่า มันคือสถานที่อะไร ผมได้แต่บ่นอยู่ในใจ มองมาทางฝั่งซ้ายเป็นบันไดลงไปสถานีรถไฟ ด้านข้างเป็นกำแพงกันดินขนาดใหญ่ที่ตามรอยต่อของแผ่นหินเต็มไปด้วยมอสและตะไคร่น้ำ ระหว่างทางเชื่อมไปสถานีผมเห็นขบวนเด็กน้อยหมวกส้มบ้างเหลืองบ้าง บางคนก็ห้อยกระติกน้ำรูปโดเรมอน บางคนก็ถือกล่องข้าวใบจิ๋ว ผมไม่ลืมที่จะขอถ่ายรูปเด็กๆ บางคนก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊มาทางผม บางคนก็ไม่สนใจคุยเล่นต่อไป เป็นภาพที่น่ารักมากๆ ไม่รู้ว่าเด็กๆ กำลังจะเดินไปโรงเรียนหรือไปทัศนศึกษาที่ไหน เด็กๆ ไม่ว่าที่ไหนในโลกก็สดใสมีชีวิตมีชีวาเป็นภาพประทับใจของผมภาพหนึ่งเลยในทริปนี้



เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง คณะทัวร์ก็พร้อมเดินทาง ตั้งต้นจากหน้าเรียวกังสามป้า พี่ต้องกับน้องมะเหมี่ยวหัวหน้าทริปก็กางแผนที่พลางเรียกทุกคนมาดูเส้นทาง จุดหมายปลายทางคือ Tokyo National Museum ระยะประมาณหนึ่งคืบในแผนที่ ทุกคนพยักหน้ารับทราบ แล้วการเดินทางขาลากมาราธอนครั้งที่แปดก็เริ่มขึ้น ทริปนี้เป็นทริปที่เน้นการเดินเป็นส่วนใหญ่ครับ เพราะอากาศที่โตเกียวเวลานั้นกำลังเย็นสบาย ตามประสาศิลปินไส้แห้งอย่างพวกผมก็อดไม่ได้ที่จะขอแวะซึมซับรายละเอียดระหว่างทางกัน จึงเป็นที่มาของการเดินขาลากมาราธอนครั้งนี้นี่เอง เราไม่เน้นจำนวนสถานที่ที่ไปแต่เน้นบรรยากาศและรายละเอียดของแต่ละสถานที่มากกว่า สังเกตจากทริปนี้เราไปกันเจ็ดคน กล้องถ่ายรูปก็เจ็ดตัว นึกสภาพดูแล้วกันครับ กว่าจะเดินผ่านจุดหนึ่ง แวะถ่ายรูปกันที กว่าจะครบทุกกล้องก็ปาไปหลายนาที นึกแล้วก็อดขำไม่ได้ เจ็ดกล้องภาพที่ออกมามุมเดียวกันเป๊ะ แต่เปลี่ยนแค่นายแบบนางแบบ บ้างก็หันกล้องกลับถ่ายรูปตัวเองซะงั้น เราจึงมีภาพพอร์ทเทรตมุมงัดเสยใต้คางกันหลายรูปเหมือนกัน ว่ากันต่อสถานที่ระหว่างทางกว่าจะถึง Museum กันบ้าง ที่แรกเลยคือที่ที่ผมสงสัยตอนเช้าคือบ้านเก่าหน้าเรียวกังสามป้า เดินมาอีกหน่อยจึงได้ถึงบางอ้อว่า จริงๆแล้วสถานที่แห่งนี้คือวัดนั่นเอง ทุกคนถึงกับตกตะลึงอ้าปากค้างแมลงวันญี่ปุ่นเกือบบินเข้าปาก เหมือนถูกดูดเข้าไปในวัด บรรยากาศดีมากๆ มองจากซุ้มประตูทางเข้า จะเห็นเป็นทางเดินนำสายตาเข้าไปถึง คาดว่าน่าจะเป็นกุฏิไม้กลางเก่ากลางใหม่ ขยับมาทางซ้ายตรงปากประตู เป็นรั้ววัดปูนเปลือยที่เว้นช่องว่างไว้ เป็นกุศโลบายที่เชื้อเชิญให้ทุกคนต้องหยุดดู ภาพที่เห็นคือองค์พระสัมฤทธิ์เขียวขนาดสูงเท่ากับตึกสองชั้นประดิษฐานอยู่และถูกโอบล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่ โดยมีต้นเมเปิลซึ่งปลายใบเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เป็น Foreground ที่สวยมากๆ ในวัดเงียบสงบมีเพียงเสียงน้ำที่ไหลลงถังไม้เอ่อล้นมากระทบก้อนหิน กับเสียงอีกาที่บินโฉบไปมาเหมือนคอยสังเกตการณ์ ผมเดินออกที่ประตูอีกด้านของวัด เป็นสุสาน ฮวงซุ้ย ชื่อ Yanaka Cemetery อันเงียบสงบ ตลอดทางกว่าค่อนกิโล ถนนเส้นนี้เหมือนมีมนต์สะกด มองไปข้างทางก็เห็นแผ่นหินสลักชื่อสลับกับดอกไม้ที่ญาติสนิทมิตรสหายนำมาเคารพ ผมเดินไปจินตนาการไปว่าขนาดเช้าตรู่ยังวังเวงขนาดนี้ แล้วตอนกลางคืนจะยิ่งวังเวงวิเวกวิเหวโหวขนาดไหน คิดไปก็ขนแขนแสตนอัพ รีบๆเดินดีกว่า



ผมนึกในใจ เดินไปต่อ ผ่านส้วมสาธารณะที่ต่างกับบ้านเราอย่างสิ้นเชิง เป็นส้วมที่เชื้อเชิญเข้าไปอย่างเสียมิได้ ด้วยความสะอาดและรายละเอียดตกแต่ง ที่ถึงแม้จะเป็นแค่สุขาสาธารณะริมถนน แต่ก็ไม่ได้ถูกละเลย ตัวอาคารถูกออกแบบด้วยรูปทรงที่สวยงาม ด้านหน้ามีสัญลักษณ์ชายหญิงที่ดูเป็นกราฟิคน่ารักสไตล์ญี่ปุ่น เป็นปูนปั้นนูนต่ำที่ผมอดชื่นชมไม่ได้ เป็นเรื่องเล็กๆที่น่าจดจำอีกเรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้

ไม่มีความคิดเห็น: