
ถนนหนทางที่นี่ก็ดูเรียบร้อย สะอาดมากๆ บ้านเรือนก็เป็นแบบผสม มีเป็นเรือนไม้เก่าๆบ้าง เป็นอาคารทาสีชมพูสดบ้าง ประกอบกับพรรณไม้เมืองหนาวริมรั้ว ที่ออกดอกบานสะพรั่ง ถ่ายรูปมุมไหนก็สวยครับ ท้องฟ้าโปร่งๆ กับต้นไม้ริมทาง เป็น Background ที่ดี ผมแหงนหน้าขึ้นไปสูดอากาศยามเช้าแล้วเดินต่อ
จากถนนเล็กๆ ตอนนี้เข้าสู่ถนนหลัก รถราเริ่มมีให้เห็นมากขึ้น พี่บิ๊ก พี่ชายผมเป็นคนชอบรถมากๆ ทุกครั้งที่รถสวยๆ ขับผ่าน แกก็จะอุทานออกมาแล้วเรียกให้พวกเราหันไปดู “เฮ๊ย! ดูดินั่นมันฮอนด้า Fit ต้นตำรับฮอนด้า Jazz บ้านเรางัย นั่นงัย Harley Davidson รุ่นนี้บ้านเราแพงโคตร” พี่บิ๊กเล่าด้วยความภาคภูมิใจ ดังนั้นไม่ต้องสงสัยเลยว่า กล้องพี่บิ๊ก
นอกจากจะมีรูปถ่ายมุมเดียวกับกล้องชาวบ้านแล้ว ที่เหลือก็จะมีแต่รูปรถเก๋งคอนเซ็ปคาร์ รถตู้ดีไซน์เหมือนเอาตู้เย็นมาวางตะแคงแล้วใส่ล้อ หรือรูปรถช๊อปเปอร์พ่วงที่นั่งด้านข้างเหมือนรถมีเนื้องอก ผมเดินต่อโดยมีเสียงพี่บิ๊กอุทานตามหลังเป็นระยะ ระหว่างทางมี Site งานก่อสร้าง เสียงรถเครนตอกปั้นจั่นผสมเสียงตะโกนโหวกเหวกของคนงานก่อสร้างไม่ต่างกับบ้านเรา แต่ที่ผมถึงกับต้องหันขวับกลับไปดู คือเจ้ารั้วที่ใช้กั้นโครงการ ที่ปกติบ้านเราจะเป็นรั้วสังกะสีลอนเล็กพ่นสีเขียว Under Construction กับกลิ่นคลุ้งของปัสสาวะและศิลปะลายเส้นของพวกนักเรียนช่างกล ที่นี่เป็นรั้วโครงการที่เปรียบประดุจผืนผ้าใบของศิลปิน เพราะนอกจากจะไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์แล้ว รั้วนี้ยังถูกตกแต่งด้วยลวดลายเรขศิลป์สีสวย ที่ผมได้แต่ถอนใจว่าเมื่อไหร่บ้านเราจะเจริญเหมือนบ้านอื่นเมืองอื่นกับเขาเสียที
การรักในสิ่งที่ตนเป็นเจ้าของ เป็นคุณสมบัติพื้นฐานของคนญี่ปุ่นในความคิดของผม เพราะมันจะนำมาซึ่งการเอาใจใส่ดูแลทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว เปรียบโลกเหมือนบ้านที่เราอยู่ การดูแลบ้านของเราก็เหมือนได้ดูแลสังคมส่วนรวม พอพื้นฐานสังคมเล็กๆดี สังคมใหญ่ๆ ตำบล จังหวัด ประเทศก็จะน่าอยู่ตามไปด้วย คงเป็นบทสรุปที่พอจะอนุมานสำหรับผมในขณะนี้
ในที่สุดจุดหมายที่เราคาดไว้ก็มาถึง Tokyo National Museum อลังการงานสร้างมากๆครับ ด้านหน้า Museum เป็นลานหินแกรนิตขนาดใหญ่ น้องๆจัตุรัสเทียนอันเหมินของจีนแผ่นดินใหญ่ก็มิปาน ระหว่างรอหัวหน้าทัวร์ไปจ่ายค่าเข้าชม วิญญาณตากล้องเข้าสิงอีกแล้วครับ ถ่ายรูปกันมุมเดียวอยู่หน้า Museum นั่นแล่ะครับ กลัวไม่รู้ว่ามาถึงแล้ว ผมแอบหัวเราะในลำคอ หลังจากได้ตั๋วและ Museum Guide กันแล้วพวกเราตัดสินใจแยกวงกันดีกว่า ต่างคนต่างเดิน เพราะต่างคนก็มีความชอบไม่เหมือนกันและเพราะสถานที่ค่อนข้างกว้างมาก กระจายกันเดินแล้วนัดเวลากันดีกว่า ให้เวลาสองชั่วโมงแล้วกลับมาพบกัน ณ จุดนัดพบลานน้ำพุหน้า Museum แล้วกัน พี่ต้องหัวหน้าทัวร์กำชับ ผมกาง Museum Guide นับดูอาคารทั้งหมด 5 อาคาร เริ่มเดินจากทางซ้าย แล้วค่อยวนขวาทักษิณาวัตรแล้วกัน ผมพูดกับน้องๆ ที่จะไปด้วยกัน อาคารแรกเป็น

Horyuji Homotsukan เป็นอาคารสมัยใหม่ ด้านหน้าเป็นบ่อน้ำลึกแค่เข่า มีน้ำพุเต้นระบำเป็นจังหวะพอให้ตกใจเล่น เดินเข้าไปถึงผนังปูนตันๆ ด้านหน้า ทางเข้าอยู่ไหน ผมนึกในใจ ต่างตนต่างฉงน ลองเดินไปด้านข้างๆ แอบมองหลังผนังปูน เห็นมีป้ายตัวเล็กๆ Entrance ถึงได้ทราบกันว่าเป็น Gimmick ของคนออกแบบอาคาร หลอกให้ประหลาดใจเล็กน้อย พอเดินอ้อมไปหลังผนังปูน ประตูกระจกก็เปิดเองโดยอัตโนมัติ คิดเยอะจริงๆ คนญี่ปุ่น น้องผมแซว ใน Museum นี้รวบรวมผลงานศิลปะของญี่ปุ่นหลายแขนง ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม ฯลฯ ตามธรรมเนียมที่นี่อนุญาตให้ถ่ายรูปได้ แต่ห้ามใช้ Flash ผมและน้องๆ ใช้เวลาอยู่ในนี้ประมาณครึ่งชั่วโมง บ้างก็ออกมาก่อน บ้างก็ยังซึมซับวัฒนธรรมอยู่ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลารอกัน วงเริ่มแตกครับ ผมกับน้องอีกคน จึงเดินไปจุดต่อไป Hyokeikan
เห็นแวบแรก ผมคิดถึงอาคารรัฐสภาบ้านเรา ที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ยุโรปนั่นเอง ด้านหน้ามีต้นไม้ใหญ่ใบสีเหลืองบ้างแดงมาก ตัดกับอาคารสีขาวตุ่น สวยไปอีกแบบ ผมตัดสินใจไม่เข้าไปดูด้านในเพราะเหลือบไปเห็นในแผนที่ว่ามีพิพิธภัณฑ์ Japanese Ancient Architecture อยู่ด้านหลัง Honkan (Japanese Gallery) เป็นความชอบส่วนตัว เพราะอาคารเก่าของญี่ปุ่นจะมีเอกลักษณ์และรายละเอียดแบบเรือนเครื่องผูกเหมือนสถาปัตยกรรมล้านนาบ้านผม
ทางเข้าชมมีแผนที่เล็กๆ บอกว่าอาคารยุคไหนอยู่บริเวณไหน จากทางเข้ามองเข้าไปจะเห็นทางเดินคดเคี้ยว ข้างทางเป็นต้นไม้ใหญ่สลับกับอาคารที่แอบอยู่หลังพุ่มไม้บ้าง มีบึงน้ำกั้นกลางต้องข้ามสะพานไม้ไปบ้าง บ้านบางหลังทางเข้าจะปูด้วยแผ่นไม้กลมๆ เหมือนเขียง บางหลังทางเข้าก็เป็นก้อนกรวดเล็กบ้างใหญ่บ้าง เวลาเดินจะมีเสียงกรุ๊บกรั๊บน่าฟังดี เวลามีคนเข้าบ้านจะได้ทราบ ผมเดาไปเอง บ้านบางหลังก็ใช้ผนังเป็นไม้ไผ่สานครึ่งท่อนล่างไม้แผ่นครึ่งท่อนบน ดูสวยไปอีกแบบ
สิ่งหนึ่งที่คล้ายๆ บ้านเราคือบ้านบางส่วนที่นี่จะยกพื้นสูง สงสัยเอาไว้เลี้ยงไก่ด้านล่าง แต่จริงๆ ที่ทราบมาเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านเรื่องการระบายอากาศและยกพื้นเพื่อหนีน้ำท่วม ผมเดินไปคิดถึงบ้านไป จนถึงอีกฝั่งผมหยุดพักเหนื่อยตรงเก้าอี้กลางลานหญ้า มองออกไปเห็นบึงน้ำขนาดใหญ่ กับโขดหินริมตลิ่งสลับกับต้นหลิวใบย้อยลงสัมผัสน้ำ มองไกลลิบๆ เห็นกลุ่มบ้านที่ผมเพิ่งเดินผ่านมา ผมหยุดถ่ายรูปแล้วควักเอาสมุดสเกตซ์ออกมา บรรจงวาดภาพด้วยดินสอตามมีตามเกิดที่ติดมาด้วย พลางปล่อยอารมณ์สบายๆ มีความสุขมากๆ ครับ ขณะกำลังวาดรูปเพลินๆ เจ้ารุ่นน้องที่เพิ่งเดินมาถึงบ้านฝั่งกระโน้น คงเห็นผมอยู่อีกฝั่ง เลยโบกไม้โบกมือแซวผมเล่น สมาธิผมกระเจิงเลย กำลังเพลิดเพลินเจริญใจอยู่ดีๆ

ผมตั้งข้อสังเกตอย่างหนึ่ง ผมเห็นผู้ที่เข้าชมทำให้ประหลาดใจมาก เพราะนับหัวคร่าวๆ แล้ว ชาวต่างชาติ ฝรั่งขี้นก หรือกะเหรี่ยงอย่างพวกผม มีจำนวนน้อยกว่า คุณย่าคุณปู่ชาวญี่ปุ่นที่ควงคู่กันมา บ้างก็เป็นแก๊งค์สามป้า สี่ลุง ห้าเจ้ เสียดายที่ผมฟังไม่ออกว่าเค้าคุยอะไรกัน น่าคิดนะครับ ผมเดาว่าน่าจะเหมือนการรวมรุ่น ระลึกถึงอดีต ของกลุ่มผู้สูงอายุ ตรงกับที่ผมอนุมานไว้ตอนต้นว่าคนญี่ปุ่นรักแผ่นดินเกิดของตนมากๆ “รอยย่นและรอยยิ้มแก้มปริของคนเฒ่าคนแก่ชาวญี่ปุ่นที่ผมเห็นคงแปรผันตรงกับความเจริญทั้งทางวัฒนธรรมและจิตใจของคนที่นี่” ผมจดบทสรุปนี้ลงบนความทรงจำของการมาเยือน Tokyo ครั้งนี้และผมคงจะต้องกลับมาเที่ยวญี่ปุ่นอีกแน่นอนถ้ามีโอกาส ยังไม่ทันสิ้นเสียงความคิด....ผมได้ยินเสียงพี่บิ๊กบ่นอีกครั้งว่าที่นี่น่าจะมีพิพิธภัณฑ์รถญี่ปุ่นให้ดูบ้างนะ....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น